Saturday, November 17, 2012

แนะนำกล้องดิจิตอลยุค Social Network

0 comments
 
เราคงทราบกันดีแล้วว่า ปัจจุบันกล้องดิจิตอลได้กลายมาเป็นเทคโนโลยีปัจจุบันของโลกการถ่ายภาพกล้องดิจิตอลกลายเป็นอีกหนึ่ง Mobile device ที่คนยุคไอทีจะมีใช้กัน และแม้ว่าจะมีผู้พัฒนากล้องถ่ายภาพที่มีกลิ่นไอของกล้องมืออาชีพแบบ SLR (Single-Lens Reflex) ในอดีต มาแปรสภาพเป็นกล้องยุคใหม่ว่า DSLR (Digital Single-Lens Reflex) โดยจะเป็นกล้องที่ใช้เทคนิคการสะท้อนภาพด้วยเลนส์เดี่ยวภาพบนเลนส์กล้อง จะเป็นภาพเดียวกันกับภาพที่ View Finder หรือ จอภาพ กล้องประเภทนี้จะมีความคมชัดสูงเหมือนกล้อง SLR ในตำนาน

จากการที่ Smartphone ได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนสังคมเมือง ซึ่ง Smartphone เองก็มีระบบสนับสนุนการถ่ายภาพที่ดี รวมถึงสามารถเชื่อมต่อสู่โลกของชุมชนออนไลน์บน Social Network เข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้โดยตรง แต่การถ่ายภาพด้วยเทคโนโลยีบน Smartphone จำเป็นต้องพึ่งพา Digital zoom หรือ Digital mode เท่านั้นไม่สามารถใช้เทคนิคการปรับแต่งอื่นๆได้ดังใจ รวมถึงความละเอียดของภาพก็ยังไม่สามารถทำได้สูงมากนัก แม้ว่าจะมี Nokia Pureview808 ที่สามารถให้รายละเอียดสูงมากที่สุดในโลกของ Smartphone ถึง 41 MP ก็ตาม

จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้บริษัทผู้พัฒนา Mobile Device ได้พัฒนากล้องดิจิตอลที่สามารถเชื่อมต่อสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้โดยตรง  แม้ว่าเทคโนโลยีเช่นนี้ จะมีใช้ใน Smartphone กันมาแล้ว แต่ด้วยการที่เป็น Smartphone ซึ่งมีจุดประสงค์หลักเพื่อการติดต่อสื่อสารเป็นหลัก การถ่ายภาพจะเป็นจุดประสงค์รองลงไป ซึ่งไม่สามารถจะปรับแต่งกระบวนการถ่ายภาพได้มากนัก และสิ่งนี้ก็จะเป็นอีกปรากฎการณ์ของโลกดิจิตอล โลกของเครือข่าย โลกของชุมชนออนไลน์ อาทิ Canon, Fuji และ Sony โดยจะมีฟังชั่นใช้เชื่อมต่อส่งผ่านไปยังอินเทอร์เน็ตได้

แต่การนำเอาระบบปฏิบัติการ(Operating System) มารวมกับกล้องดิจิตอล พร้อมส่วนสนับสนุนต่างๆ เป็นอีกก้าวหนึ่งของการพัฒนา Mobile Device



หนึ่งในผู้นำของโลก Smartphone ที่เข้าถึงปัจจัยเทคโนโลยีนี้ก็คือ Samsung ที่นำกล้องถ่ายภาพคุณภาพสูงแบบ DSLR ที่พัฒนาร่วมบนระบบปฏิบัติการ Android 4.1 ทำให้การถ่ายภาพคุณภาพสูงนั้นใกล้ชิดกับโลกเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมากยิ่งขึ้น (แนะนำให้รู้จัก ไม่เกี่ยวกับการค้านะครับ)



ด้วยเทคโนโลยี การถ่ายภาพ บนคุณลักษณะเฉพาะที่เหนือชั้น อาทิ หน้าจอสัมผัสขนาด 4.8 นิ้ว 308 ppi เซนเซอร์ CMOS 16.3 ล้านพิกเซล เลนส์ซูม 21x F2.8 23mm, รองรับ ISO สูงสุด 3200  ถ่ายวีดีโอ Full HD 1920×1080  ซีพียู Quad-Core 1.4GHz WiFi a/b/g/n Bluetooth 4.0  HDMI รองรับ 4G, 3G 850 / 900 / 1900 / 2100 MHz Android 4.1 Jelly Bean แบตเตอรี่ 1,650 mAh ดาวน์โหลดแอพใน Play Store ได้ พร้อมลูกเล่นเกี่ยวกับภาพอีกมากมาย ที่สำคัญแชร์ตรงขึ้น Social network ได้ทันที


ทราบข่าวมาว่า กล้องคุณภาพสูงตัวนี้ ราคาอยู่ประมาณ 16,900 เท่านั้น ลองดูเสปคโดยรวมของกล้องตัวนี้จัดว่า สุดยอดทีเดียว และนี่ก็คงจะทำให้กล้องดิจิตอลแบรนด์อื่นๆ คงต้องหันมาพัฒนากล้องแนวนี้กันแน่นอน


นอกจาก Samsung แล้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านกล้องอย่าง Nikon ก็พัฒนากล้องดิจตอลบนระบบปฏิการ Android มาก่อน Samsung ก็ว่าได้ ดังเจ้าตัว Nikon COOLPIX S-SERIES เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ Mobile device ตัวแรกๆ ที่มาพร้อมกับสมรรถนะสูง สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบไร้สาย เพื่อให้ผู้ใช้สามารถอัพโหลตภาพและวีดีโอ (ในระบบ full-HD 1080p) ไปยัง Social network ได้โดยง่าย นอกจากนี้ยังมีเซ็นเซอร์แบบ Backside illumination CMOS ที่มีความละเอียดถึง 16 ล้านพิกเซล และซูมแบบ Optical 10 เท่าด้วยเลนส์ NIKKOR

Readmore...
Monday, November 12, 2012

เลือกใช้หน่วยบันทึกข้อมูล(Memory Card)

0 comments
 
 
 
หากจะกล่าวถึง Memory card น้อยคนนักของคนในแวดวงไอที จะไม่รู้จัก เจ้า Memory Card หรือหน่วยบันทึกข้อมูล ถือเป็นสิ่งจำเป็นในโลกยุคดิจิตอล หน้าที่หลักของหน่วยบันทึกข้อมูลนี้ก็คือใช้ในการเก็บ บันทึกไฟล์ข้อมูลประเภทต่างๆ ทั้งภาพ เสียง วีดิทัศน์ ในอุปกรณ์ Mobile Device หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น กล้องถ่ายรูป หรือ กล้องถ่ายวิดีโอ หรือแม้กระทั่งโทรศัพท์มือถือในทุกประเภท และนับวันอุปกรณ์ Mobile เหล่านี้ ยิ่งมีวิวัฒนาการในการทำงานที่รวดเร็ว และสามารถบันทึกข้อมูลขนาดใหญ่ๆได้ดี ทำให้ต้องการสื่อสำหรับจัดเก็บที่มีขนาดใหญ่ รองรับความเร็วที่สูงขึ้นตามไปด้วย และพบว่าในบางครั้ง อุปกรณ์จัดเก็บไม่สามารถบันทึกข้อมูลได้ทัน ทำให้การทำงานของอุปกรณ์ Mobile Device ต้องค้างนิ่งไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง สาเหตุก็มาจากการใช้ Memory card ที่มีอัตราการอ่านเขียนที่ต่ำกว่าปริมาณข้อมูลที่ดำเนินการบันทึก ในบทความนี้ก็ จะว่าโดยรวม
 
 
Memory Card ในยุคเริ่มแรกอาจจะมีความจุไม่กี่ร้อยเม็กกะไบท์ (MB) แต่ปัจจุบันมีขนาดเกินหลัก GB ไปจนถึง TB แล้ว แต่ขนาดที่นิยมมากในตลาดทั่วๆไป มีตั้งแต่ 2GB, 4GB, 8GB, 16GB, 32GB, 64GB
 
ท่านทราบไหมว่า Memory Card ก็มีหลายประเภทเหมือนกัน เรามาทำความรู้จัก Memory Card กันก่อน
 
Compact Flash Card (CF Card)
เป็นหน่วยความจำแบบที่นิยมกันมากที่สุด มีขนาดเล็ก เบา ราคาถูก รวมทั้งยังทนทานเป็นพิเศษ มีความจุตั้งแต่ 8 เมกะไบต์ จนถึง 3 กิกะไบต์ จุดเด่นของ CF card คือ มีความเร็วในการอ่านและเขียนข้อมูลสูง โดย CF card จะมี 2 รูปแบบคือ Type 1 และ Type 2 Type II จะมีความหนามากกว่า  มีความจุมากขึ้น และประมวลผลได้เร็ว มีใช้ในฮาร์ดดิสก์ขนาดจิ๋ว อุปกรณ์ที่นิยมใช้ CF card ส่วนใหญ่จะเป็น กล้องดิจิตอล และ คอมพิวเตอร์พกพา ที่เห็นได้ชัดก็คือ กล้อง Canon จะใช้ CF card เป็นตัวเก็บภาพแทบทุกรุ่น




Multimedia Memory Card (MMC card)
หน่วยบันทึกข้อมูลประเภทนี้เป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือหรือเครื่องเล่น MP3 มาก่อน แต่ด้วยข้อจำกัดของ MMC card คือ มีราคาค่อนข้างแพง มีความจุไม่ค่อยสูงมากนัก ซึ่งในอนาคตอาจจะถูกแทนที่ด้วยการ์ดหน่วยความจำแบบ SD Card ในไม่ช้า แต่ที่ยังคงมีการใช้งาน MMC Card กันอยู่จนถึงทุกวันนี้ก็เนื่องจาก MMC Card นั้นสามารถนำไปใช้กับอุปกรณ์ที่รองรับ SD Card ได้ด้วย โดยอุปกรณ์ที่นำ MMC Card ไปใช้งานนั้นก็มักจะเป็นอุปกรณ์พกพาขนาดเล็กต่างๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ, เครื่องพีดีเอ, เครื่องเล่นเพลง MP3 หรือกล้องดิจิตอล จากที่กล่าวไว้ข้างต้นคือ อุปกรณ์ใดที่มีสล็อตของ SD Card ก็มักจะสามารถนำ MMC Card มาใส่ได้โดยปริยาย เนื่องจากความกว้างและยาวของ MMC Card นั้นเท่ากันกับ SD Card รวมถึงมีขาขั้วต่อ (Pins) รูปแบบเดียวกัน เพียงแต่ MMC Card จะมีความหนาที่น้อยกว่า SD Card อยู่เล็กน้อย



Memory Stick
เป็นหน่วยความจำที่คิดค้นและพัฒนาขึ้นโดย Sony เพื่อใช้กับกล้องดิจิตอล, เครื่องเล่นเพลง, โทรศัพท์มือถือ, เครื่องเล่นเกมส์ PlayStation, VAIO notebook ของค่าย Sony โดยเฉพาะ ซึ่ง sony ได้ทำการพัฒนาออกมาหลายรุ่นด้วยกัน เช่น Memory Stick, Memory Stick Duo (มีระบบป้องกันข้อมูลในส่วนของ Memory Stick MagicGate), Memory Stick with memory selection function Total 256 mb (128 mb x 2), Memory Stick Pro, Memory Stick Pro Duo (มีระบบป้องกันข้อมูลในส่วนของ Memory Stick MagicGate)
ลักษณะของ Memory Stick  มีรูปร่างเป็นแท่งแบนยาว มีขนาด 50 x 21.5 x 2.8 มิลลิเมตร สามารถรองรับการบันทึก/จัดเก็บข้อมูลได้มากถึงระดับ GB ลักษณะเด่นและมีความเร็วในการบันทึกและการถ่ายโอนข้อมูลที่สูงระดับ 1.3 MB ต่อวินาที ซึ่งสูงกว่าหน่วยความ SD card หรือ MMC card แบบธรรมดา  ช่วยให้การเขียนอ่านข้อมูลทำได้ด้วยความรวดเร็วยิ่งขึ้น แต่ Memory Stick ไม่ค่อยได้รับความนิยมในหมู่ผู้ใช้ทั่วไปเท่าใดนัก เนื่องจากราคาที่ค่อนข้างสูง


SD card (Secure Digital Card)
เป็นหน่วยความจำที่พัฒนาร่วมกันโดย Matsushita SanDisk และ Toshiba ถือได้ว่าเป็นหน่วยความจำที่นิยมนำมาใช้กับอุปกรณ์พกพาขนาดเล็กต่างๆ มากที่สุดในหลายประเภทของอุปกรณ์ Mobile Device ไม่ว่าจะเป็น digital cameras , PDAs, GPS receivers และโทรศัพท์มือถือเกือบทุกแบรนด์จะนิยมใช้ SD Card กัน ซึ่ง SD Card นับเป็นสื่อบันทึกข้อมูลที่แพร่หลายกันมากที่สุด มีการผลิตในหลายบริษัท  จะอยู่ภายใต้การกำกับมาตรฐานโดย  SD Association


ด้วยปริมาณความต้องการในการใช้งาน SD Card มีความต้องการความจุที่สูงขึ้น ทำให้มีการกำหนดมาตรฐานรองรับจาก SD Card รุ่น Standard เดิมที่ความจุไม่เกิน 2 GB (Fat 12/16) มาสู่มาตรฐานใหม่อีก 2 มาตรฐานคือ SDHC (Secure Digital High Capacity) ความจุ 2GB-32GB และ SDXC ที่มีความจุ 32 MB-2TB

SD Card ในทุกมาตรฐานจะถูกออกแบบมาใน 3 ขนาด คือ
    1. Full Size SD
    2. MiniSD
    3. MicroSD
รายละเอียดตามตารางด้านล่าง


ปัจจุบันทั้ง MiniSD / MicroSD ได้ถูกนำมาใช้กับอุปกรณ์โทรศัพท์ต่างๆ รวมถึง Tablet PC ในเกือบทุกรุ่น ถือได้ว่า SD Card เป็นหน่วยบันทึกข้อมูลที่นิยมใช้งานมากที่สุด เนื่องจากขนาดที่เล็ก ราคาไม่สูง ใช้งานได้หลากหลาย ใช้ได้กับกล้องถ่ายภาพหลายยี่ห้อ รวมไปถึงโทรศัพท์มือถือ แถมยังมีหลายขนาด ทั้งแบบปกติ, miniSD, microSD เพื่อให้รองรับกับอุปกรณ์แต่ละประเภท
นอกจากนี้การ์ด SD ทั้ง 3 แบบดังที่กล่าวมาในข้างต้นทั้งการ์ด SD ความจุมาตรฐาน , SDHC หรือ High-Capacity, SDXC หรือ eXtended-capacity ก็จะมีคุณลักษณะเฉพาะในความเร็วของการบันทึกหรือการอ่านที่แตกต่างกันไปตามพัฒนาการในแต่ละช่วงปีตามวิวัฒนาการ


ซึ่งการ์ดแต่ละตัวจะมีการบ่งบอกความเร็วของการ์ด ที่เรียกว่า Speed Class ด้วยตัวอักษรตัว C ซึ่งความเร็วเหล่านี้จะมีประโยชน์ในการอ่านข้อมูลในการ์ด หน่วยเป็นจำนวน MB ต่อวินาที สามารถแบ่งออกเป็นระดับต่างๆ  ดังนี้
          Speed Class 2   มีความเร็วในการอ่านข้อมูล   2MB/วินาที
          Speed Class 4   มีความเร็วในการอ่านข้อมูล   4MB/วินาที
          Speed Class 6   มีความเร็วในการอ่านข้อมูล   6MB-12MB/วินาที
          Speed Class 10 มีความเร็วในการอ่านข้อมูล 10MB-25MB/วินาที


 มาตรฐาน Speed Class 10 ไม่เพียงพอต่อเทคโนโลยีการส่งผ่านข้อมูลเพื่อการจัดเก็บที่มีพัฒนาการสูงขึ้น ทำให้ได้มีการกำหนดมาตรฐานเพิ่มเติมที่เรียกว่า UHS Speed Class จะเป็นอักษรตัว U


ลักษณะ pin ด้านหลังของ SD Card ซึ่ง UHS-II จะมี pin interface  2 แถว ในการเลือกใช้ UHS Speed Class นั้น อุปกรณ์ที่ท่านใช้ ต้องรองรับเทคโนโลยีนี้ด้วยเช่นกัน เพราะจะมีส่วนเชื่อมต่อ interface พิเศษ แถวที่ 2 ทำให้การเขียนอ่านที่ความเร็วสูงสุดได้


บางบริษัทได้ออกแบบให้ SD Card Class 10 สามารถใช้ร่วมกับมาตรฐาน UHS-I ด้วยความเร็วขั้นต่ำในการอ่านข้อมูลที่ 25MB/วินาที หากใช้เทคโนโลยี UHS-I จะสามารถใช้ความเร็วสูงสุดถึง 104 MB/s






           อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการ์ด SD คุณภาพดีแค่ไหนก็ตาม หากคุณภาพของ Mobile Device ที่ท่านใช้ ไม่ว่าจะเป็น กล้อง หรือคอมพิวเตอร์ หรือ Smartphone ที่ไม่สามารถรองรับการ์ด SD ได้ ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร (แต่ส่วนใหญ่ปัจจุบัน มาตรฐานรองรับถึง class 10 แทบทั้งสิน



นอกจาก SD Card ที่นิยมใช้ในอุปกรณ์เกือบทุกประเภทแล้ว ก็ยังมีหน่วยบันทึกข้อมูลที่บริษัทผู้ผลิตกล้องพัฒนาขึ้นเอง(ไม่เกี่ยวกับ smartphone) ซึ่งไม่ค่อยแพร่หลายนัก

xD Picture Card (xD Card) เป็นหน่วยความจำที่บางมาก มีใช้ในกล้องดิจิตอลรุ่นเล็กของฟูจิ และโอลิมปัส ถือว่าเป็นสื่อบันทึกข้อมูลน้องใหม่ มีความน่าสนใจ แต่ยังมีใช้ไม่มากนัก จึงมีราคาสูงกว่า SD Card ทั่วไป

Smart Media เป็นต้นแบบของ xD Card เป็นการ์ดแบบบางเช่นกัน แต่มีความจุน้อย ปัจจุบันแทบจะไม่มีกล้องดิจิตอลที่ใช้หน่วยความจำแบบนี้แล้ว



อ้างอิง
(1) http://en.wikipedia.org/wiki/Comparison_of_memory_cards
(2) http://kb.sandisk.com/app/answers/detail/a_id/1996/~/difference-between-speed-class,-uhs-speed-class,-and-speed-ratings
(3) https://www.sdcard.org
Readmore...
Sunday, November 4, 2012

เรียนรู้แนวทางการเลือกซื้อ Smart Phone ที่อิงเทคโนโลยี

0 comments
 
ในช่วงเวลานี้ ผู้คนที่อยู่ท่ามกลางโลกไอที น้อยคนนักที่ไม่รู้จัก Smart Phone  ซึ่งนับวัน กำลังจะเป็นอีกส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ที่อำนวยความสะดวกในด้านต่างๆให้ชีวิตคนในสังคมเมือง หากต้องตัดสินใจในการมี Smart Phone เราจะมีวิธีเลือกอย่างไรให้เหมาะสมกับตัวเรา การลงทุนซื้อมาราคาสูง แต่ใช้เพียงแค่โทรออก หรือรับสาย อาจจะไม่คุ้มค่า บทความนี้เขียนจากประสบการณ์จริง ในการเลือกมี เลือกใช้ของผู้เขียนในมุมมองที่อิงเทคโนโลยีต่างๆ

เรามาดูกันว่าหากคิดจะมี Smart Phone ใหม่ หรือจะมีเพิ่ม ควรมีหลักในการเลือกซื้ออย่างไร ให้เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด ขึ้นอยู่กับความชอบ ในรูปลักษณ์ ในแบรนด์ ในงบวงเงินที่ตั้งใจจะซื้อ และสุดท้ายดูที่เทคโนโลยีที่ต้องรองรับการใช้งานเครือข่ายเดิม หรือเครือข่ายที่จะเลืกใช้

ถ้าจะมามองถึงด้านเทคโนโลยี ก็คงต้องศึกษา เรียนรู้เรื่องคุณลักษณะเฉพาะ แต่ขอบอกว่า อย่าตามติดเทคโนโลยี เพราะเราจะไม่มีวันตามทัน แต่ควรเลือก Smart Phone ที่เป็นระบบภาพรวม ท่ามกลางเทคโนโลยีที่จะอยู่กับเรานานๆโดยมองดูในภาพรวมด้านต่างๆ ดังต่อไปนี้



1. ความเร็ว CPU ที่มีตั้งแต่ ต่ำกว่า 1 GHz ไล่เรื่อยไปถึง 1.7 GHz พิจารณาที่ค่า  ยิ่งสูงยิ่งดี

2. จำนวนแกนของ CPU ที่มีตั้งแต่ Single Core, Dual Core จนถึง Quad Core มาก core ยิ่งดี
แต่อาจจะไม่เสมอไป เพราะ ขนาด Apple iPhone 5 ยังแค่ Dual Core เนื่องจากจำนวนแกน CPU 2 แกนหรือ 4 แกน ไม่ใช่ตัวตัดสินว่ามีประสิทธิภาพสูงกว่ากัน เพราะมันมีปัจจัยอื่นที่ทำให้ Smart Phone ทำงานได้ลื่นไหล ซึ่ง Smart Phone ก็มีสถานะเช่นเดียวกับระบบคอมพิวเตอร์ ที่ต้องขับเคลื่อนประสานไปพร้อมกับ หน่วยประมวลผลการแสดงผล  ซึ่งก็คือ GPU อยู่ที่ข้อที่ 5 และประสิทธิภาพของ Chip Set  ในข้อที่ 6 ด้วย


3.ระบบปฏิบัติการ ซึ่งปัจจุบันก็มีหลายค่าย อาทิระบบ iOS ของ Apple, ระบบ Android ของค่าย Google รวมถึง Windows Phone และ Symbian เป็นต้น ตรงนี้แล้วแต่ความชอบ

4.ความละเอียดของหน้าจอแสดงผล มีทั้ง 320x240px, 480x360px, 480x800px,720x1280px, เป็นต้น ค่ายิ่งมากยิ่งดี


5.GPU (Graphics Processing Unit) ที่เป็นหน่วยประมวลผลแปลงสัญญาณไปแสดงผลบนหน้าจอ  ตอบสนองการแสดงผลของเม็ดสีต่อความเร็วทำให้การทำงานของ Apps ต่างๆในระบบทำงานได้เร็วขึ้น ลื่นไหลมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นรายละเอียดทางเทคนิคของเครื่อง โดย GPU ที่มีการใช้งาน อาทิ Mali 400, Adreno 205, Adreno 225 หรือ PowerVR SGX 540 เป็นต้น ซึ่งกรณีตรงนี้ ควรศึกษาดีๆด้วย

6. Chip Set นับเป็นอีกส่วนที่สำคัญของระบบ Smart Phone ในการทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ การใช้งานที่ลื่นไหล การเชื่อมต่อ การรู้จักเทคโนโลยีองค์ประกอบภายใน รวมถึงความไวในการสื่อสารกับอุปกรณ์รอบข้าง

7.หน่วยความจำภายในสำหรับสนับสนุนการทำงาน ก็จะมีตั้งแต่ไม่กี่ร้อย MB ไปจนถึง 1 GB ค่ายิ่งมากยิ่งดี

8. ประเภทและความจุแบตเตอรี่  ที่ปัจจุบันต้องเป็น LI-ION หรือ LI-Polymer
    ความจุมีหลายขนาด หน่วยเป็น mAh ค่ามาตรฐาน ควรระดับสูงกว่า 1,500mAh ฟันธงในข้อนี้ ค่ายิ่งสูงยิ่งดี

9. Pixel Density ในข้อนี้นับเป็นส่วนสำคัญมากใน Smart Phone จำนวนจุด pixel ต่อตารางนิ้ว หรือค่า PPI ในการแสดงผล ซึ่งหากมีค่า PPI สูงก็เป็นส่วนสำคัญที่ให้ความคมชัดสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น Smart Phone ที่มีหน้าจอขนาดใหญ่ จึงต้องออกแบบให้มี ค่า PPI สูงขึ้นตามไปด้วย ตัวอย่าง
iPhone 4s ขนาดหน้าจอ 3.50 นิ้ว มี Pixel Density ที่ 326 ppi
iPhone 5 ขนาดหน้าจอ 4.0 นิ้ว มี Pixel Density ที่ 326 ppi
Galaxy Note    ขนาดหน้าจอ 5.30 นิ้ว มี Pixel Density ที่ 285 ppi
Galaxy Note II ขนาดหน้าจอ 5.50 นิ้ว มี Pixel Density ที่ 267 ppi
Galaxy S3 ขนาดหน้าจอ 4.8 นิ้ว มี Pixel Density ที่ 306 ppi
Sony Xperia Acro S ขนาดหน้าจอ 4.3 นิ้ว มี Pixel Density ที่ 342 ppi
ซึ่งตรงนี้ ภาพการโฆษณา จะไม่ค่อยปรากฏให้ผู้บริโภคเห็นมากนัก  ค่ายิ่งมาก ยิ่งดี


10.ความคมชัดของการแสดงผลค่าปกติ อยู่ที่ 16.7 ล้านสี แต่ก็พบว่า มีค่าแสดงผลที่ต่ำกว่านี้ ซึ่งในหลายค่ายจะชูธงเรื่องความคมชัดด้วยเทคโนโลยีต่างๆ อาทิ
 IPS (In-Plane Switching)ที่กินไฟต่ำความคมชัดสูง  หรือ Super LCD หรือ  Retina Display หรือ จะเป็น Super AMOLED กัน ซึ่งคู่ฟัดปัจจุบันจะอยู่ที่คู่ของ Retina Display และ Super AMOLED ที่ให้สีสุดสวย แต่บางเทคโนโลยีต้องแลกด้วยการใช้พลังงานแบตเตอรี่ที่ค่อนข้างสูง ไม่ได้ว่า Super AMOLED นะครับ

11.ความทนทานต่อหน้าจอสัมผัสที่ควรจะทนต่อการขีดข่วนพอสมควร ที่ปัจจุบันมีใช้เทคโนโลยีประเภท Scratch-Resistant Display ในหลายชื่อ อาทิ Gorilla Glass หรือ Dragontail Glass เป็นต้น บางแบรนด์ก็จะทำหน้าจอให้มีความแข็งพิเศษทนต่อการกดทับทำให้แตกได้ง่ายที่เรียกว่า Shatter Proof


12.พื้นที่เก็บข้อมูล ส่วนใหญ่ จะมีพื้นที่ตั้งแต่ 4GB, 8GB, 16GB, 32GB ยิ่งมาก ยิ่งดี  ที่สำคัญความสามารถในการเพิ่มหน่วยความจำภายนอกหรือ External Storage ได้ก็จะดียิ่งขึ้น


13.ขนาดหน้าจอแสดงผล ก็นับเป็นอีกปัจจัยสำคัญของ Smart Phone ด้วยปัจจุบันผู้ใช้ต้องเข้าถึง content ต่างๆบน Smart Phone ที่หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นอ่านข่าวสาร อ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ดูไฟล์มัลติมีเดีย นอกจากจะต้องมีความคมชัดของเม็ดสี(ในข้อ 4 แล้ว) ขนาดหน้าจอแสดงผลก็เป็นสิ่งสำคัญ แต่สำหรับข้อนี้ แล้วแต่ผู้ใช้งานเป็นตัวกำหนด ขนาดหน้าจอ Smart Phone ที่นิยมผลิต และใช้จะอยู่ที่ประมาณ 4 นิ้ว (วัดตามแนวทะแยงนะครับ)



14.ความเป็นมัลติมีเดียต่างๆ อาทิ ระบบเสียง ความดัง ความชัดเจน ความไพเราะ รวมถึงส่วนสนับสนุนอาทิ การแสดงผลวิดีโอ ในระดับคุณภาพธรรมดา จนถึง HD มีวิทยุ หรือบางแบรนด์สามารถดูโทรทัศน์ได้ด้วย การพิจารณา เอาเสียง และความสามารถการแสดงผลแบบ HD เป็นหลัก


15.ความสามารถในการถ่ายภาพ ความคมชัด ด้วยมาตรฐานเลนส์ต่างๆ อาทิ Carl Zeiss Optics กล้องหลัก ความละเอียดจะอยู่ที่ 5-12 MP ยิ่งมาก ยิ่งดี แต่ Nokia 808 PureView  ให้ความคมชัดสูงถึง 41 MP

16.ค่ายความถี่ที่เลือกใช้ เพราะ Smart Phone บางแบรนด์ บางรุ่น รองรับไม่ครบทุกความถี่ ทำให้ใช้ได้กับค่ายมือถือบางค่าย ไม่สามารถครอบคลุมรองรับค่ายโทรศัพท์ในเมืองไทยทั้ง 3-4 รายได้ครบ (AIS, DTAC, TRUE,TOT) ดังนั้นต้องพิจารณาว่าท่านใช้ของค่ายใด หรือจะเลือกก่อนแล้วค่อยย้ายค่ายมือถือ เอาแบบชัวร์ๆ ก็ เอาเครื่องที่รองรับทุกค่าย ดีที่สุด


17.หากเลือกแบรนด์ที่โดนใจ แต่ไม่ใช่แบรนด์ยอดนิยมสิ่งที่ต้องระวังคือ อาจจะหาเคส (Case) หรือกระเป๋าใส่ Smart Phone ยาก ซึ่งเหล่าแบรนด์ยอดนิยมอย่าง iPhone หรือ Samsung หรือ Nokia จะมี case ให้เลือกใช้ที่หลากหลายกว่าค่อนข้างจะเลือกหาแบบของเคสได้ง่าย

18.นอกจากนี้คงต้องดูในรายละเอียดพิเศษเฉพาะ ที่จะเป็นส่วนช่วยในการสนับสนุนการตัดสินใจ อาทิ
     (1) ความชื่นชอบในแบรนด์เป็นการเฉพาะ
     (2) Option พิเศษทางเทคนิคด้านถ่ายภาพ ต่างๆ อาทิ การมี กล้องหน้า/หลัง รองรับการถ่ายภาพที่ความละเอียดสูงๆ  ถ่ายภาพแบบแนวกว้างพิเศษ (Panorama Mode และ 3D Sweep Panorama)  การโฟกัสใบหน้าอัตโนมัติ การ zoom ภาพ  ระบบป้องกันการสั่นไหวของรูปภาพ (Image Stabilization)
     (3) Option พิเศษด้านการเชื่อมต่อ อาทิ Wi-Fi , Bluetooth หรือ NFC (Near Field Communication) สำหรับใช้การสื่อสารข้อมูลระยะใกล้ 
     (4) การเชื่อมต่อสัญญาณไปแสดงผลที่จอภายนอกแบบ HDMI
     (5) รองรับการใช้งาน SNS (Social Network Service) : Facebook หรือ Twitter ได้โดยตรง
     (6) ถ่ายภาพวิดีโอที่ความละเอียดสูงๆได้ ปัจจุบันได้ระดับ HD
     (7) และอื่นๆ ... วิทยุในตัว การทนต่อแรงกระแทกหรือกดทับ

สุดท้ายคือ ข้อที่ 19 ความชื่นชอบส่วนตัวของผู้ใช้  ที่จะมีน้ำหนักมากที่สุด

กรณีของผู้เขียนบทความ
หลังจากศึกษา Smart Phone ที่พอจะมีกำลังซื้อได้ คือ LG Optimus HD ค่าย  Nokia Lumia 820 รวมถึง มองมาที่ค่าย Sony เล็งตระกูล Xperia รุ่น SL แล้วก็ ion และ Acro S เพื่อมาทดแทน Mobile Phone ตัวปัจจุบัน Nokia ที่เริ่มชราภาพ  (ตั้งแต่ใช้มือถือมาก็ใช้ Nokia มาตลอด ถือได้ว่า เป็นสาวกของ Nokia แต่ด้วย Nokia รุ่นที่หวังจะครอบครองเป็น series Lumia 820 ที่ run ด้วยระบบปฏิบัติการ Windows Phone 8 ยังไม่ออกวางจำหน่าย แม้จะมีราคาที่ประกาศออกมาที่ 16,000 กว่า....  แต่จากข่าวว่าจะลงตลาดก็ช่วงสัปดาห์ที่ 4 เดือน พฤศจิกายน ซึ่งกลัวว่า Nokia ที่ใช้อยู่ จะสิ้นชีพไปก่อนเวลา)

จากการศึกษาข้อดี ข้อเสีย และเทียบ Spec และราคา ในรุ่นต่างๆ แล้ว เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน จึงตัดสินใจถอย Smart Phone น้องใหม่ ตัวที่ 4 ของชีวิตการมีการใช้ Mobile Phone เป็น Smart Phone นาม Xperia Acro S ของ Sony ด้วยค่าตัว 15,990 บาท ด้วยจุดเด่นที่ แบรนด์ ขนาด ราคา คุณภาพทางเทคนิคที่กล้องที่ดีกว่า  ความละเอียดของการแสดงผลที่สูง การทำงานที่ราบรื่น เชื่อมั่นในระบบปฏิบัติการ Chip set/GPU ประสิทธิภาพด้านมัลติมีเดีย และการเชื่อมต่อ รองรับค่ายมือถือทุกความถี่  คุณลักษณะพิเศษในการทนต่อฝุ่นและน้ำ และทำใจยอมรับข้อด้อยด้านแบตเตอรี่ที่เปลี่ยนไม่ได้(ซึ่งคงไม่เสียในช่วง 5 ปีแน่ๆ..ปลอบใจตัวเอง) หาเคสไว้หุ้มยากหน่อย และอุณหภูมิที่อาจจะร้อน ..เพราะท่าทางอาจจะไม่มีช่องระบายความร้อน

 

ที่ร่ายยาวมานี่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่กำลังจะเขียนนั้นคือ Sony Xperia Acro S ถูกกล่าวขวัญว่า เป็น Smart Phone ในจำนวนไม่กี่ตัวที่มีมาตรฐาน Ingress Protection Ratings (IP)  โดย Sony Xperia Acro S ผ่านการรับรองตามมาตรฐาน IP55 และ IP57 ทำให้สามารถกันฝุ่นละออง กันน้ำได้ที่ความลึก 1 เมตร (ได้ 30 นาที) แต่ไม่ขอทดสอบ  ถ้าจะดูการทดสอบดูได้จากวิดีโอด้านล่าง
 

 
 
ทำให้เกิดความสงสัยว่าเจ้า IP คืออะไร (รู้แต่ IP เครือข่ายคอมพิวเตอร์) ดังนั้นจึงทำการศึกษาเลยเข้าใจ ก็ขอนำมาแบ่งปันกัน
 
IP - Ingress Protection Ratings คือ มาตรฐานที่ใช้วัดความสามารถความทนทาน ในการป้องกันสิ่งที่คาดว่าจะเป็นอันตรายต่ออุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์เคลื่อนที่ Tablet PC หรือ Smart Phone  มาตรฐาน IP นี้ ถูกพัฒนาขึ้นมาโดย European Committee for Electro Technical Standardization (CENELEC) (NEMA IEC 60529 Degrees of Protection Provided by Enclosures - IP Code) ซึ่งการจัดอันดับของระดับการป้องกันจะแสดงด้วยตัวเลข 2 หลัก
 
ซึ่งหลักแรกจะแแสดงความสามารถในการป้องกันของแข็ง และหลักที่สองจะเป็นความสามารถในการป้องกันของเหลว  รูปแบบการแสดงมาตรฐานจะเป็น IPXX ซึ่ง XX คือ ค่าตัวเลข  IP45, IP57เป็นต้น
 

 
เรามาดูความหมายของตัวเลขหลักแรก ที่เป็นส่วนของแข็งกัน
0 = ไม่ป้องกันอะไรเลย
1 = สามารถป้องกันของแข็งที่มีขนาดไม่เกิน 50 มิลลิเมตร เช่น การเผลอไปจับตัวกล้องด้วยมือ
2 = สามารถป้องกันของแข็งที่มีขนาดไม่เกิน 12 มิลลิเมตร เช่น เผลอแตะด้วยนิ้ว
3 = สามารถป้องกันของแข็งที่มีตั้งแต่ 2.5 มิลลิเมตรขึ้นไป เช่น เครื่องมือ สายไฟ
4 = สามารถป้องกันของแข็งที่มีตั้งแต่ 1 มิลลิเมตรขึ้นไป เช่น เครื่องมือ สายไฟ และสายไฟขนาดเล็ก
5 = สามารถป้องกันฝุ่นได้ในระดับหนึ่ง
6 = สามารถป้องกันฝุ่นได้
 
ความหมายของตัวเลขหลักที่สอง ในการทนต่อสภาพของเหลว
0 = ไม่ป้องกันอะไรเลย
1 = สามารถป้องกันน้ำหยดใส่ได้ เช่น หยดน้ำที่เกิดจากความชื้น
2 = สามารถป้องกันละอองน้ำที่เข้ามาในมุมไม่เกิน 15 องศาจากแนวตั้ง
3 = สามารถป้องกันละอองน้ำที่เข้ามาในมุมไม่เกิน 60 องศาจากแนวตั้ง
4 = สามารถป้องกันละอองน้ำได้จากทุกทิศทาง
5 = สามารถป้องกันน้ำได้ในระดับหนึ่ง
6 = สามารถเปียกน้ำได้แต่ไม่นาน เช่น โดนฝน
7 = สามารถจุ่มน้ำได้ที่ความลึกตั้งแต่ 15 เซนติเมตร ถึง 1 เมตร
8 = สามารถใช้งานใต้น้ำได้
 
มาตรฐานข้างต้นใช้ในอุปกรณ์ Mobile Device ทุกชนิด ขึ้นอยู่กับว่า จะทดสอบมาตรฐานเหล่านี้ไหม หากท่านมี Mobile Device แล้วมีการรับรองมาตรฐาน IP นี้ ก็มั่นใจได้ระดับหนึ่งว่า  Mobile Device ท่านทนต่อภาวะที่มากกว่าอุปกรณ์ปกติอยู่พอสมควร
 
ตัวอย่าง Sony Xperia Acro S  มีมาตรฐาน  IP57 หมายความว่า Smart Phone ตัวนี้สามารถป้องกันฝุ่นได้ ในระดับหนึ่ง และสามารถป้องกันน้ำได้ในระดับความลึกถึง 1 เมตร ชั่วระยะเวลา 30 นาที (หากสนใจประเภทกันฝุ่นได้ซึ่งดีกว่า Xperia Acro S ในตระกูล Xperia เช่นกันก็มีอยู่ 1 รุ่นคือ Sony Xperia Go ที่มีมาตรฐาน IP67) 
 
 Sony Xperia Acro S กันน้ำได้จริงแค่ไหนลองดูบททดสอบโดยฝีมือคนไทย ทำได้เยี่ยมและน่าสนใจดี ไว้พบกันใหม่ในบทความต่อไป  
 
 
 
อ้างอิงและขอขอบคุณ 

Readmore...

ข้อมูลการสิ้นเปลืองแบตเตอรี่ของ Smart Phone

0 comments
 

สำหรับผู้ที่ต้องการจะซื้อ Smart Phone หรือโทรศัพท์เคลื่อนที่ ปัญหาอย่างหนึงของผู้ซื้อมักละเลย ซึ่งกลายเป็นปัญหาส่วนใหญ่ของผู้ใช้งาน ก็คือ เครื่องใช้พลังงานไฟสูง ส่งผลให้มีการชาร์จไฟที่บ่อยมากๆ โดยภาพรวม มาจาก
1.เครื่องมีการใช้ทรัพยากร หมายถึงพลังงานค่อนข้างสูง
2. มีระบบการจัดการพลังงานที่ไม่ดีหรือไม่มี
3.มีขนาดความจุของแบตเตอรี่เล็กเกินไป

ดังนั้น เรามีรายงานที่มีการทดสอบ Smart Phone มาประกอบให้ท่านที่จะตัดสินใจซื้อ Smart Phone มาให้ได้พิจารณากัน โดยจะแสดงในสถานะการใช้งานด้านหลักๆ 3 ด้าน

เวลาที่ใช้ในการสนทนาต่อเนื่อง
ในส่วนของการสนทนา ซึ่งก็คือการใช้งานหลักของ Smart Phone ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ แบรนด์โมโตโลล่า ตระกูล RAZR เป็นแบรนด์ที่ให้เวลาสนทนาแบบต่อเนื่อง นานที่สุด ทั้ง 3 รุ่น มากกว่า 20 ชั่วโมง ตามมาด้วย Galaxy Note II สามารถใช้ได้นาน 16 ชั่วโมง เปรียบเทียบกับ Apple iPhone 5 ทำเวลาไปได้เพียง 8 ชั่วโมงกว่าๆ ส่วนผลการเปรียบเทียบในแต่ละแบรนด์ ก็ดูจากตารางข้างล่าง (ค่ามาตรฐานอยู่ที่ 6-8 ชั่วโมง)

 
 
การใช้งานด้านเว็บบน Web Browser
Apple iPhone 5 เปิดตัวมาได้ดีกว่า iPhone 4S ใช้งานในการท่องเว็บได้นานมากกว่า 9 ชั่วโมง แบรนด์โมโตโลล่า ตระกูล RAZR MAXX ตามมาติดๆ ปิดท้ายด้วย คู่แข่งของ Apple คือ Galaxy Note II ที่ใช้เวลาได้นานมากกว่า 8 ชั่วโมง  (ค่ามาตรฐานอยู่ที่ 5-8 ชั่วโมง)

 
 

การใช้งานด้านเล่นไฟลวิดีโอ
ไฟล์วิดีโอ เป็นอีกความบันเทิงบนมือถือที่ขาดไม่ได้ ในด้านการทดสอบก็มีผลการเปรียบเทียบมาด้วยเช่นกัน โดย แบรนด์โมโตโลล่า ตระกูล RAZR MAXX ทำเวลาดีที่สุดเล่นนานถึง 16 ชั่วโมง ส่วน Apple iPhone 5 ทำได้ 10 ชั่วโมง และ Galaxy Note II  อยู่ที่ 11 ชั่วโมง ถือว่าดีกว่า iPhone 5  (ค่ามาตรฐานอยู่ที่ 5-8 ชั่วโมง)


ดังที่ได้เกริ่นในต้นบทความแล้วว่า ปัจจัยสำคัญของเวลาใช้งานประการสำคัญอยู่ที่ความจุของแบตเตอรี่เรามาดูค่าของความจุแบตเตอรี่ก่อนทำการพิพากษา



Motorola  ตระกูล RAZR MAXX  (ราคาประมาณ 15,900 บ)
มีความจุของแบตเตอรี่อยู่ที่ 3,300 mAh (จากเดิม 1,780 mAh) ถือว่ามากที่สุดใน Smart Phone
อ่านเพิ่มเติมที่ : บทวิจารณ์

Apple iPhone 5  (ราคา 22,000-29,000) มีความจุของแบตเตอรี่อยู่ที่ 1440mAh  ซึ่งถือว่าน้อยกว่า Motorola มากๆๆ
อ่านเพิ่มเติมที่ : บทวิจารณ์

Samsung Galaxy Note II  (ราคา 22,000 กว่า) มีความจุของแบตเตอรี่อยู่ที่  3100mAh  นับว่ามากเกือบเท่า Motorola เลยทีเดียว
อ่านเพิ่มเติมที่ : บทวิจารณ์

จากข้อมูลที่เปรียบเทียบของสามแบรนด์ พอจะสรุปได้แล้วนะครับว่า หากแบรนด์ที่ท่านใช้งาน น้อยกว่านี้ก็อย่าน้อยใจ  นั่นอาจจะมาจากค่าของความจุแบตเตอรี่ที่อาจสู้ไม่ได้ ที่สำคัญรวมไปถึงราคาค่าตัวของเครื่องด้วย โดยค่าความจุของแบตเตอรี่มาตรฐาน(Standard Battery) ส่วนใหญ่ ที่มีประสิทธิภาพในปัจจุบันต้องเป็น Li-ion หรือ Lithium-ion ค่าความจุมาตรฐานอาจจะไม่ตายตัวมากนัก ส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วง 1,350 - 1,500 mAh เท่านั้น

อ้างอิงข้อมูล : http://blog.gsmarena.com/category/battery-tests/
Readmore...

สาระ เนื้อหา เรื่องราว ที่ปรากฎอยู่ในบล็อกแห่งนี้ จัดทำขึ้นเพื่อรวบรวมผลงาน แนวคิด จากการศึกษาเรียนรู้ และประสบการณ์ในการทำงาน รวมถึงการนำมาจากแหล่งข้อมูลอื่น(ซึ่งจะแจ้ง links ต้นทาง) นำมาเผยแพร่ให้กับท่านที่สนใจ ผ่านช่องทางและเวทีบล็อกแห่งนี้ หากท่านต้องการที่จะแนะนำ หรือแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ในการจัดทำบล็อกความรู้นี้ ติดต่อพูดคุย(ฝากข้อความ) ได้นะครับ

ขอบคุณที่กรุณาเข้าเยี่ยมชม
mediathailand
สุวัฒน์ ธรรมสุนทร
ข้าราชการบำนาญ สำนักงาน กศน.




ข้อเสนอแนะจากเพื่อนสมาชิก Facebook